แนวทางการเลือกซื้อแอร์ยังไงดี .. ?

   เมื่อ : 01 ก.พ. 2565  ,  1308 Views
จากการทำงานด้านเครื่องปรับอากาศมาหลายปี จะเจอคำถามที่ลูกค้าถามมากกกกที่สุดคือ  “แอร์ยีห้อไหนดี แอร์แบบไหนดีกว่ากัน จะต้องใช้กี่ BTU ดีนะ” แบบนี้ บลาๆๆ.. บทความต่อไปนี้ผมเลยจะอธิบายการเลือกซื้อแอร์ยังไงให้ตรงใจเรามากที่สุด เลือกแบบไหนที่เหมาะกับเรามากที่สุด ซึ่งก็จะแบ่งเป็นข้อหลักในการพิจารณาเป็นนี้ครับ

1. เลือกประเภทไหนดี ?
   โดยเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยของเราก็มีหลายประเภท หลายแบบ หลายลักษณะให้เราเลือกซื้อเลือกใช้กันตามความเหมาะสมแบบนี้ครับ
   - แบบติดผนัง (Wall Type) แอร์ติดผนังเป็นที่นิยมใช้กันมากตามบ้านเรือนครับ เหมาะในการใช้กับห้องขนาดเล็ก ที่มีตั้งแต่ 9,000 - 25,000 Btu มีการออกแบบรูปทรง สีสันและฟังก์ชั่นหลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของเรา
   - แบบตั้งแขวน (Ceiling type) แอร์แบบนี้เหมาะกับห้องขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีคนอยู่กันหนาแน่นครับ เช่น ร้านค้า ห้องอาหาร อาคารสำนักงาน ติดตั้งใต้ฝ้าเพดานได้ บางแบบสามารถติดตั้งแบบวางบนพื้นได้ สามารถกระจายลมเย็นจะไปได้ไกลและทั่วถึง ทนต่อการใช้งานหนัก แต่การทำงานอาจมีเสียงดังกว่าแบบติดผนังอันนี้เป็นข้อเสียหน่อยนึงครับ
   - แบบฝังฝ้าเพดาน สี่ทิศทาง (Cassette type) แอร์สี่ทิศทางเน้นไปที่ความสวยงามของห้อง โดยการซ่อน ฝังอยู่ใต้ฝ้าหรือเพดานห้อง ทำให้สามารถรักษารูปทรงความสวยงามของห้องได้ดังเดิม เหมาะกับ ห้องที่ต้องการรักษาความสวยงาม ที่ต้องการให้เห็นตัวเครื่องแอร์น้อยที่สุด แต่ราคาเครื่องต่อบีทียูแพงอันนี้จะแพงกว่าประเภทอื่นนะครับ
   - แบบตู้ตั้งพื้น (Package type) แอร์จะมีลักษณะคล้ายตู้ มีกำลังลมที่แรง เหมาะกับบริเวณที่มีคนผ่านเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ติดตั้งบนพื้น มีประสิทธิภาพในการการกระจายลมเย็นสูง ทนทานต่อฝุ่นควัน เหมาะกับการใช้งานหนัก เช่นในโรงงาน หรือห้องโถงขนาดใหญ่ ติดตั้งได้ง่าย สามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว แต่การทำงานใช้เสียงดัง เปลืองไฟกว่าเครื่องปรับอากาศชนิดอื่น และ เสียพื้นที่การใช้งานของห้องไปบางส่วน
   - แบบท่อลม (Duct type) หรือแอร์ดัก จะใช้ท่อดักเป็นตัวพาลมเย็นไปส่งความเย็น เข้าตามห้องต่างๆ แล้วแต่จะใช้กี่ห้องตามแบบที่ออกมา ข้อดีคือติดตั้งชุดเดียว ส่งลมเย็นไปได้ทุกห้อง แต่ข้อเสียคือถ้าเครื่องปรับอากาศเสีย จะไม่เย็นทุกห้องเช่นกันครับ

2. เลือก BTU. เท่าไรดี ?
   ก่อนอื่นเลย เราต้องรู้จักกันก่อนคับว่า BTU. หรือ British Thermal Unit ก็คือความสามารถในการดึงความร้อนออกจากห้อง ยิ่ง BTU. มาก ความสามารถในการดึงความร้อนภายในห้องก็จะถูกดึงออกไปมาก  ก็จะทำให้เรารู้สึกว่าห้องเย็นขึ้นนั้นเอง

สูตรในการคำนวณ BTU = [ กว้าง(เมตร) X ยาว(เมตร) ] X ตัวแปร
ตัวแปร
• 750 สำหรับห้องนอนปกติ * ไม่โดดแดด
• 800 สำหรับห้องนอนปกติ * โดดแดด
• 850 สำหรับห้องทำงาน * ไม่โดดแดด
• 900 สำหรับห้องทำงาน * โดดแดด
• 950 - 1,100 สำหรับร้านอาหาร ร้านทำผม มินิมาร์ท ร้านค้า สำนักงาน * ไม่โดดแดด
• 1,000 - 1,200 สำหรับร้านอาหาร ร้านทำผม มินิมาร์ท ร้านค้า สำนักงาน * โดดแดด
• 1,100 - 1,500 ห้องประชุม ห้องสัมมนา ร้านอาหารสุกี้/ชาบู/ปิ้งย่างที่มีหม้อต้มหรือเตาความร้อนเยอะ หรือห้องที่มีจำนวนคนต่อพื้นที่เยอะกว่าปกติหลายเท่า

TIP : ทำไมต้องเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศให้พอดี
- เลือกแอร์ BTU. สูงเกินไป คอมเพรสเซอร์จะตัดบ่อยครั้ง สิ้นเปลืองพลังงาน อีกทั้งความชื้นในห้องก็สูง รู้สึกไม่สบายตัว
- เลือกแอร์ BTU. น้อยเกินไป  จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลา เพื่อทำอุณหภูมิให้ได้ตามที่เราตั้งไว้ ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและทำให้เครื่องเสียเร็วครับ
- ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพิ่มขึ้นอีกนะครับ อย่างเช่น จำนวนคนในห้อง , ความสูงของฝ้าเพดาน , ตำแหน่งทิศทางของห้อง , โหลดความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

3. ฉลากเบอร์ 5 ก็สำคัญนะ!
   เมื่อเราเลือกประเภทของแอร์ได้แล้ว ทราบขนาด BTU. กันไปแล้ว ปัจจัยต่อมาที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย นั้นก็คือฉลากเบอร์ 5 ของแอร์ครับ โดยในปัจจุบัน ฉลากเบอร์ 5 นี้ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่แล้ว ที่ไม่ได้มีแค่เบอร์5 ธรรมดาๆ เหมือนในสมัยก่อน โดยที่แบบใหม่นี้ จะมี “ดาว” เพิ่มขึ้นมา 1-3 ดวง โดยที่ยิ่งมีดาวมาก ความสามารถในการประหยัดไฟก็จะมากตามไปด้วยครับ
 
 
4. ระบบอินเวอร์เตอร์ หรือ ระบบธรรมดา ดีกว่ากัน!!
   อีกนึงคำถามที่พบเจอบ่อยมาก นั้นก็คือ คนส่วนใหญไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องของระบบอินเวอร์เตอร์ กับระบบธรรมดาต่างกันยังไง โดยในเรื่องนี้ผมจะมาเจาะลึกอีกครั้งครับในบทความต่อๆไป แต่ในคราวนี้จะขออธิบายคราวๆเป็นแบบนี้ครับ

แอร์ระบบธรรมดา เหมาะกับห้องที่ใช้งานโดยไม่ต้องการอุณหภูมิที่คงมากนัก เหมาะกับห้องที่มีคนอยู่มากๆ มีการเปิดเข้าออกบ่อยๆ เช่น ห้องอาหาร ห้องประชุม
ข้อดี : ราคาแอร์ถูกลงกว่าแต่ก่อน ระบบการทำงานภายในที่ไม่ค่อยซับซ้อนมากนัก ค่าซ่อมแซมถูกกว่า เมื่อเทียบกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์
ข้อเสีย : กินไฟสูง ยิ่งในช่วงสตาร์ทคอมเพรสเซอร์อาจมีเสียงดังมาก ทำอุณหภูมิค่อนข้างไม่คงที่ อาจจะเย็นเกินไปหรือร้อนเกินไปบ้างตามจังหวะการทำงานของคอมเพรสเซอร์

แอร์ระบบ อินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการรักษาอุณหภูมิที่คงที่ ต้องการความเงียบ เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน
ข้อดี : รักษาอุณหภูมิได้ค่อนข้างคงที่ ไม่หนาวหรือร้อนไปกว่าที่ตั้งไว้มากนัก ประหยัดไฟการทำงานเงียบ รู้สึกเย็นสบายๆ
ข้อเสีย : ราคาแอร์สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดา ระบบภายในซับซ้อนกว่า ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงกว่า

5. ยี้ห้อ เลือกแบรนด์ดีก็อุ่นใจได้
   ตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย ก็มียี้ห้อให้เลือกกันมากมายเลยครับ หลายหลายตามความต้องการของเรา ลักษณะ รูปทรง ราคา มีระบบฟอกอากาศแบบนั้น แบบนี้ก็ว่ากันไปครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้เรามองถึงมาอันดับแรกก็คือการรับประกันของสินค้า โดยทั่วไปแต่ล่ะยี้ห้อก็มีการรับประกันที่แตกต่างกันไม่มาก แต่จะเป็นในเรื่องของการเซอร์วิส และอะไหล่ที่มีพร้อมให้เราหรือเปล่านั้นเองครับ

   ยกตัวอย่างนะครับ แบรนด์ยี้ห้อหนึ่ง รับประกันคอมเพรสเซอร์ 10 ปี อะไหล่ 5 ปี แต่พอลูกค้ามีปัญหา เรากลับต้องรอศูนย์บริการ รออะไหล่ กว่าจะเครมจะได้ตามกันได้ อันนี้มีให้กันแล้วครับ อีกตัวอย่างครับ แบรนด์ยี้ห้อหนึ่ง รับประกันคอมเพรสเซอร์ 5 ปี อะไหล่ 1 ปี แต่มีศูนย์บริการเยอะ อะไหล่หาง่าย ช่างเซอร์วิสได้เร็ว ** อันนั้นผมไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรนะครับ แค่ยกตัวอย่างจริงๆๆ **

ข้อมูลต่อไปขอสงวนไว้เป็นความคิดส่วนตัวจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นะครับ
  แบรนด์แอร์ทั่วๆไปในประเทศไทยเราส่วนมากก็แบ่งออกเป็น แบรนด์ค่ายจากญี่ปุ่น แบรนด์ฝั่งนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี วัสดุ อุปกรณ์ที่นำมาประกอบถือว่าแข็งแรง ดูดี มากกว่าฝั่งอื่นๆ อะไหล่มีพร้อม ไม่ต้องรอสั่งขอนานถ้าหากมีอุปกรณ์ชำรุด การเซอร์วิสจากช่างศูนย์ถือว่าดูแลดี เครมเร็วครับ ราคาก็ถือว่าสูงกว่าฝั่งอื่นๆแต่คุ้มครับในระยะยาวๆ

   แบรนด์จากฝั่งเกาหลี แบรนด์ฝั่งนี้ผมมองว่า เน้นไปที่การผลิตลูกเล่น ฟังก์ชั่นที่ดีมากกว่า รูปทรงที่แปลกตา ต่างจากฝั่งแบรนด์อื่นๆ แต่ก็นะครับ ยอมรับเลยว่าอาจจะด้วยฟังก์ชั่นที่เยอะหรือป่าว ทำให้บางทีตัวเครื่องชอบมีปัญหาจุกจิกกว่าแบรด์ตัวอื่นๆ ราคาถือว่ากลางๆครับ มีให้เลือกตามความต้องการ

   แบรนด์จากจีน อันนี้ต้องยอมรับครับว่า สินค้าจากจีนมีอยู่ทุกที ทุกตัวผลิดภัทฑ์จริงๆ อีกทั้งยังรับผลิตชิ้นส่วนต่างๆส่งให้แบรนด์อื่นๆอีก  ราคาถูกว่า การรับประกันถือว่านานเป็นสิบปี คุณภาพก็ถือว่าดีนะครับ แต่อาจเสียเปรียบเรื่องของศูนย์บริการที่มีน้อยกว่า ถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ

6. ตำแหน่งการติดตั้ง
   ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆในส่วนของตำแหน่ง ในการติดตั้งแอร์ ซึ่งถ้าต่อให้เรามีแอร์ที่ดีที่สุด แต่ตำแหน่งการติดตั้งไม่ดี การทำหน้าที่ของแอร์ก็ลดประสิทธิภาพลงได้เหมือนกัน จนเราอาจจะผิดหวังกับเงินที่เสียไป ยกตัวอย่างเช่น ห้ามติดแอร์ในตำแหน่งเหนือประตู เพราะ จะทำให้ความเย็นออกไปนอกห้องได้ง่าย ทำให้ภายในห้องไม่เย็น อีกทั้งการเปิด – ปิด ประตูบ่อยๆ ทำให้อุณหภูมิไม่คงที่ ระบบเซ็นเซอร์ของเครื่องปรับอากาศจะทำงานหนัก ส่งผลให้แอร์ทำงานหนักไปด้วย นอกจากห้องจะไม่เย็นแล้ว ยังเปลืองไฟ เปลืองค่าไฟโดยใช้เหตุอีก
   ห้องนอน ไม่ควรติดตั้งแอร์ไว้เหนือหัวเตียง เพราะลมจะปะทะตัวโดยตรง ทำให้เย็นเกินไป ไม่สบายตัว ควรติดตั้งแอร์ในแนวตั้งฉากกับหัวเตียง จะช่วยให้เย็นสบาย เหมาะแก่การหลับพักผ่อนมากกว่าแบบนี้เป็นต้นครับ

7. เลือกช่างแอร์ที่มีความชำนาญ เลือกบริการจากร้านที่ดี
 “เราเสียเงินซื้อแอร์ในราคาหลายหมื่นบาท เราคงไม่อยากได้แอร์ที่ไม่สมบูรณ์ ติดได้ไม่กี่วันก็มีปัญหา ไม่เย็น กันใช่ไหมครับ”
 จากทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมาแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญพอๆกันนั้นก็คือการเลือกบริการจากบริษัทร้านค้าที่ดี มีบริการหลังการขาย ไม่ถอดทิ้งลูกค้า มีช่างที่มีความชำนาญ ความรู้ความสามารถ ก็จะทำให้เรารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างมากครับ

   จากหัวข้อหลักๆที่ผมได้อธิบาย ชี้แนวทางการเลือกซื้อแอร์ให้ตรงตามใจเราไปแล้ว ก็หวังว่าจะมีประโยชน์ช่วยในการตัดสินใจกับหลายๆคนที่พร้อมจะซื้อแอร์มาติดที่บ้านสักเครื่องหนึ่งได้แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังลังเล ไม่รู้ว่าจ%2